วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

ด้านมืดฯ ตอนที่สิบ : สุข สั้น สั้น

ตอนที่สิบ  สุข สั้น สั้น


“อือ .. มึงถามอะไรนักหนา  กูเซ็งแล้วเนี่ย”  เขาผลักไหล่กว้างแต่ยังไม่หนาเต็มที่นั้นแรง ๆ แต่แขนยาว ๆ 
ของเจตก็กลับรั้งเข้าเข้าไปจนชิดกันอีกครั้ง

“ไม่ถามแล้ว”  



หน้าคมก้มลงแนบชิด ลำตัวผอมบางกระตุกแต่ทว่าไม่มีสิทธิอุทานคำใดเพราะเจตแนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง
ครั้งนี้หนัก  แรง  บดและดูดกลืนจนเหมือนเขาโดนสูบวิญญาณออกไป  มือที่ลูบผ่านทิ้งน้ำหนักตามปลายนิ้วเป็นระยะ
ในยามที่มือร้อนลากไปทั่วเหมือนปลุกโหมอารมณ์ที่ดับไปให้ลุกขึ้นมาในเสี้ยวนาที 

และในจังหวะที่เจตผละริมฝีปากออกไป เขาต้องรีบกอบโกยลมหายใจเข้าไปในปอดทันที รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่าง “ฟุบ” 
ผ่านศีรษะพ้นออกไปจากตัว  ไอเย็นของเครื่องปรับอากาศแตะสัมผัสทั่วผิวกายท่อนบน  ตาโตของเขาเบิกกว้าง
ด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนตัวสูงยันตัวขึ้นนั่งทั้งที่ยังแทรกตัวอยู่หว่างขาของเขา  แขนยาว ๆ ค่อย ๆ ดึงเสื้อออกจากตัว
เช่นกัน


ลำตัวเปล่าเปลือยของเจตในยามนี้  ไม่เหมือนลำตัวคนอีกเป็นร้อยที่เคยเห็นในโรงอาบน้ำ แววตาคมที่เคยส่ง
ความอบอุ่นให้  วันนี้... เหมือนเป็นคนละคน  มันดุดัน และฉาบด้วยแววความต้องการอย่างเต็มเปี่ยม

ผิวของเจตขาว  ขาวจัด  ไหล่กว้าง  ลำตัวโปร่งปกคลุมด้วยกล้ามเนื้อที่ยังไม่ชัดเจน แต่จากโครงร่างที่เห็น
เจตจะเป็นผู้ชายตัวโต สูงใหญ่ และเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสมส่วนตามวัยในไม่ช้า

และที่ชายโครงของเจตมีรอยแผลนูนเป็นแนวยาวหลายนิ้ว แผลเป็นที่คงเคยเป็นสีขาวจางๆ ตอนนี้ขอบมีสีชมพูจัด
เพราะเม็ดเลือดที่พร้อมใจกันวิ่งไปจนทั่ว เหมือนกับที่แผ่นอกและคอของเจต ... ซึ่งเขาเองก็รู้ดีว่ามันเกิดจากอารมณ์

เจตโน้มตัวลงมาจุมพิตที่ไหล่เมื่อเขาพยายามเบี่ยงตัวออกจากการกระทำนี้ แต่มือยาวของเจตกลับกดไหล่อีกข้างของเขา
ลงกับที่นอน  ริมฝีปากบางๆ  ลากยาวจากแนวไหล่มายังไหปลาร้าแล้วกดแนบแน่นไปที่ลำคอ

ความรู้สึกที่พุ่งขึ้นมาตามแนวที่ริมฝีปากลากไล้ทำให้เขาแหงนหน้าเริ่ดโดยไม่ได้ตั้งใจ และมันก็กลายเป็นการเปิดทาง
ให้ลิ้นร้อนๆ ลากไปจนทั่วคอ  แล้วเลยลงมาตรงแอ่งที่มีเส้นเลือดเต้นตุบตับของเขาเต้นอยู่ล่วงลงจนถึงแผ่นอก
และในนาทีที่ความร้อนและเปียกชื้นครอบครองจุดเล็กที่แผ่นอกผอมๆ ของเขา ..

“อ๊า... “ 

มือที่เคยกำแน่นอยู่ต้นแขนของเจตกลับมาขยุ้มเข้าที่หัวเกรียนที่กำลังดูดดึงเม็ดเล็กของเขาอยู่  นิ้วเล็กผอมกดลงที่ศีรษะ  
ต้นตอของทุกอารมณ์เสียวซ่าน กำมือทุบไปที่ไหล่กว้างทว่ายังผอมบางอย่างคนโตไม่เต็มไวโดยไม่ออมแรง  แต่ทว่านั่น
ไม่ทำให้อีกคนถอดถอนความร้อนออกจากจุดไวสัมผัสของเขาเลย

ความรู้สึกของการถูกขบกัดแล้วดึงยอดอกขึ้นก่อนจะปล่อย แล้วลากลิ้นร้อนวนรอบคล้ายปลอบโยนทำให้น้ำตาของเขา
ไหลออกจากหางตาด้วยแรงบิดเป็นเกลียวลึกจากภายในกาย  มือเรียวยาวทั้งสองข้างของเจตทำงานอย่างไม่หยุดพัก  
ทั้งเค้นคลึงจนเขารู้สึกเจ็บหน้าอกเพราะมันไม่มีไขมันนุ่มๆ รองรับแรงขยำเหล่านั้น  อีกทั้งลากกดหนักตามสีข้างและเอว 
จนเขาบิดลำตัวหนีแต่ก็ไม่สามารถขยับได้มากมายนัก

“ฮ๊า.. เดี๋ยว เจต.... กู...กูหายใจไม่ทัน  ... ”

จุ๊บ เบา ๆ ที่ยอดอก ก่อนที่หน้าคมจะเคลื่อนมากระซิบอะไรบางอย่างชิดใบหู  ขบขอบหู  สูดกลิ่นแก้ม  คาง 
แล้วลากจูบเรื่อยลงล่างจนถึงสะดือ

ตัวผอม ๆ ของผู้ชายมันเร้าอารมณ์ตรงไหนเขาเองก็ไม่เข้าใจ แต่เจตกลับทำเหมือนหลงใหลกับมัน  ไม่ว่าจะเป็นจูบ 
ดูด ดึง ลากลิ้นลงน้ำหนักไปจนทั่ว  แม้กระทั่งหลุมสะดือก็ยังลงลิ้นให้เขาต้องแอ่นบิดโค้งเพื่อคลายความเสียวซ่าน 

แม้อารมณ์จะพุ่งขึ้นสูงขนาดไหน  แม้เจตจะลงมือรุกเร้ามากขนาดไหน แต่เขากลับหายใจได้มากขึ้น  และรับรู้ความรู้สึก
ต่าง ๆ ได้มากขึ้น  เพราะประโยคแผ่วเบาที่ถูกกระซิบบอก วิธี ที่ข้างหู 

นั่นก็คือ “ร้องออกมา ถ้าทนไม่ไหว  ทุบ ตี กัดกูก็ได้ มันจะทำให้มึงดีขึ้น เพราะไม่ว่ายังไง ..  กูก็จะไม่หยุด”

เนื้อผ้านิ่มถูกรูดลงพ้นสะโพก ผ่านต้นขาไปกองอยู่ที่หัวเข่าก่อนที่มือยาวจะจับข้อเท้าของเขายกขึ้นทีละข้าง
แล้วรูดกางเกงนอน และกางเกงในออกจนเหลือลำตัวเปล่าเปลือย 

เจตผละลุก เดินหันหลังไปที่กำแพงแล้วปิดไฟก่อนจะเดินกลับมาอีกครั้ง  หยุดยืนที่ริมผ้าห่มที่ใช้ปูเป็นที่นอน
 .. ที่ๆ ซึ่งมีเขาล้อนจ้อนนอนหอบหายใจหนักอยู่

เจตรูดกางเกงนอนและชั้นในตัวเองออกทั้งที่ตาคมจับจ้องไปตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเขา ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เดิม
ก่อนจะลุกออกไปคือระหว่างขาสองข้างของเขา แต่คราวนี้มือยาวๆ ซ้อนเข้าที่ใต้สะโพกแล้วยกขึ้นดึงเขาให้เลื่อนลงไป
จนชิด  ขาทั้งสองข้างจึงกางออกและต้นขาเขาพาดอยู่บนต้นขาของเจตที่แทรกเข้ามาข้างใต้ทันที


เป็นท่าที่น่าอายที่สุด เป็นท่าที่เขาเองเคยทำกับผู้หญิง  เป็นท่าที่เขาเคยอยู่ตรงนั้น และไม่เคยคิดว่ามันทำให้อีกฝ่าย
อายได้ขนาดนี้

เจตโน้มตัวลงมาแล้วกดจูบที่แผ่นอกอีกครั้ง  มือยาว ๆ ทั้งสองข้างล้วงเข้าไปด้านใต้แล้วขยำแก้มก้นของเขาอย่างแรง

“โอ๊ะ .. โอ๊ย... อึก”  

พร้อมๆ กับที่ลิ้นร้อนตวัดวนไปรอบ ๆ ยอดอก  หมุนวนก่อนที่จะเม้มมันด้วยริมฝีปากบางของเจต

แรงมีเท่าไหร่เขาลงไปที่ปลายนิ้วทั้งหมด  จิกไหล่และต้นแขนของเจตจนนิ้วขึ้นขาว แต่คนด้านบนไม่สะเทือนสักนิด
แม้ผิวบริเวณนั้นจะเห่อแดงตามริ้วเล็บของเขาก็ตาม ปากร้อนของเจตดูดกลืนยอดอกจนพอใจแล้วค่อย ๆ เลื่อนลงไป
จุดที่เขา... กลัวที่สุด  มือผอม ๆ รีบคว้าจับไหล่ของเจตไว้ทันที 


 “เจต!! เจต!! เดี๋ยว ... มึง  เดี๋ยว  กู ... โอ๊ะ ...ฮึก  ฮึก”


ไม่ทันแล้วแม้จะพยายามยื้ออีกคนไว้  ความร้อนตวัดที่ปลายจุดอ่อนไหว แล้วค่อยๆ วนรอบ ๆ ส่วนปลายก่อนจะ
ลงน้ำหนักลากขึ้นลงตามความยาว  มือข้างหนึ่งละจากก้นนุ่มมากอบกุมที่โคนแล้วรูดขึ้นลงตามจังหวะลิ้นร้อนตวัด 
ก่อนที่ความร้อนทั้งหมดจะโอบล้อมจุดอ่อนไหวให้หายเข้าไปในแรงดูดดึง

“อ๊ะ  อ๊ะ  ... ฮึก  อ๊า ~~~……………..

และในเสี้ยววินาทีนั้นเอง  ความเสียวแปลบที่วิ่งจากไขสันหลังไปตามเส้นประสาท  ความชาคล้ายไฟอ่อนช็อต
ไปทั่วร่างกายก็พร้อมใจวิ่งจากกึ่งกลางลำตัวไปทั้งปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า  พุ่งอัดแน่นในอกจนต้องแอ่นสูงก่อนจะวิ่งขึ้นขมับ 
ราวกับมีอะไรบางอย่างอัดแน่นในก้อนสมอง จนต้องหยีทั้งหน้า ตา และคิ้ว จนถึงขบริมฝีปากไว้แน่นเพื่อต่อสู้กับความ
รู้สึกนั้น จนกระทั่งสมองขาวโพลน  ขาผอมกระตุกเกร็ง และน้ำอุ่นร้อนพุ่งเข้าสู่ความร้อนและเปียกชื้นที่ยังครอบครอง
อยู่ทันที ...

รู้สึกโดนดูดหนักพร้อมกับมือยาวรูดขึ้นลงช่วยระบายบางสิ่งออกจากตัวเพื่อคลายความอึดอัด

ปากบางอ้ากว้าง หอบ กอบโกยอากาศ รู้สึกถึงกล้ามเนื้อบางมัดบางส่วนในตัวเต้นยิบๆ แต่ไม่สามารถควบคุมได้

มือยาวของเจตละออกจากส่วนอ่อนไหวและก้นนุ่มมาบีบคลึงไปทั่วต้นขาและบั้นเอวให้ความเสียวซ่านไหลวน
ไปทั่วตัวอย่างสะดวกและล้ำลึกมากยิ่งขึ้น 

จนเมื่อหลายสิ่งหลายอย่างหลุดลอยคว้างขึ้นสูงสุดแล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นขนนกโดนลมซัดสูงแล้วค่อย ๆ โรยตัวลง
สู่พื้นเมื่อสายลมอ่อนแรงลง  เขาจึงค่อยๆ เปิดเปลือกตามองอีกคนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมคือหว่างขาของเขาและมองจ้องอยู่

แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความต้องการยังฉายชัด และมีแวว “สมใจ”  ในสีหน้านั้น ปากบางเปิดยิ้มที่เขารู้สึกว่ามัน เจ้าเล่ห์
เหลือเกินก่อนจะโน้มลงมาจูบเขาอย่างลึกซึ้ง

บางอย่างที่ขมึงตึงและร้อนจัดของคนด้านบนสัมผัสเข้าที่กลางลำตัวเขาตามท่วงท่าของการขยับตัว  เจตทิ้งน้ำหนักลง
มากขึ้นจนแผ่นอกแนบแน่น  ศอกข้างหนึ่งถูกค้ำไว้บนผ้าห่มข้างศีรษะเขา ส่วนอีกข้างล้วงลงไปจับส่วนรุ่มร้อนของเจ้าตัว 
รวบไว้ด้วยกัน ... แล้วเริ่มขยับช้าๆ

จากปลายนิ้ว  ปลายเท้า ไขสันหลัง สมอง  ความรู้สึกพุ่งกลับมาที่จุดอ่อนไหวทันทีเมื่อโดนปลุกซ้ำ เสียงแหบพร่า
ลอดลำคอของเขาออกมาพร้อมกับร่างกายที่บิดเกร็ง  มือผอมบางปัดป่าย  จับ  ขยุ้มทุกสิ่งที่คว้าได้ ยิ่งคนข้างบน
เคลื่อนไหวเร็วเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแน่นในอกคล้ายจะระเบิดออกมาเท่านั้น

เสียงทุ้มต่ำครางในลำคอ และอ้าปากเปล่งเสียงครางที่ข้างใบหูเขา  หน้าคมกดจูบซ้ำๆ อยู่ที่ไหล่ ซอกคอ และใบหู 
ทั้งที่ร่างกายส่วนล่างยังขยับและมืออีกข้างยังรวบสองความรุ่มร้อนไว้ด้วยกัน

ต่างคนต่างต้องการ  ต่างคนต่างรุ่มร้อน เสียงพร่าระบายความอึดอัดปะปนกันไปทั่ว  ทั้งคราง ทั้งพึมพำต่ำในลำคอ 
จนกระทั่งเอวสอบของเจตเร่งจังหวะถี่พร้อมมือที่กระชับส่วนกลางของร่างกายเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม

เจตดันตัวขึ้นจนแขนเกือบตรงเพื่อให้อยู่ในท่าที่ถนัด  แล้วเริ่มสวนสะโพกแรงมากขึ้น  ยิ่งเสียดสีก็ยิ่งเพิ่มทวีความเร่าร้อน
เม็ดเหงื่อที่หยดจากคนข้างบนโดนใบหน้าและแผ่นอกผอมบางทำให้เขาพร่า เบลอ  และเมื่อความเร็วถี่รัวในเฮือกสุดท้าย
พร้อมกับเสียงทุ้มต่ำครางยาว หน้าคมแหงนหงาย กล้ามเนื้อทุกมัดทุกชิ้นในกายของเขาก็กระตุกเกร็ง...อีกครั้ง

เสียงหวีดร้องที่เปล่งออกจากลำคอ  มันเหมือนเสียงของหญิงสาวที่เขาเคยได้ยินเวลาที่หล่อนถึงจุดสูงสุด แต่ทว่าวันนี้
มันเป็นเสียงของเขา... กลุ่มหมอกควันขาววิ่งขึ้นจากกลางอกลำคอแล้วไปติดแน่นที่สมอง ... ก่อนจะค่อย ๆ ฟุ้งเลือน
เจือจางออกไปคล้ายโดนสายลมอ่อนปัดเป่า  กล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งแน่นและกระตุกติดต่อก่อนจะค่อยอ่อนแรงลง
แล้วทิ้งตัวแขนขาอย่างไม่แคร์ท่าทาง พอ ๆ กับใบหน้าเรียวที่เอียงข้างแนบลงกับหมอนอย่างสิ้นเรี่ยวแรง และคนข้างบน
ที่หอบตัวโยนเองก็ทิ้งตัวลงนอนข้าง ๆ รวบเขาเข้าไปกอดแน่น  แล้วหลับไป ....





ที่นอนหนานุ่มในห้องปรับอากาศเย็นฉ่ำยวบยาบเล็กน้อยเมื่อเขาลืมตาตื่นแล้วลุกไปหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ
อย่างไม่อิดออด  จนเมื่อก้าวขาออกจากประตูห้องน้ำอีกครั้งฟ้านอกหน้าต่างห้องจึงเปลี่ยนสีบ่งบอกเวลาเช้าวันใหม่  
เขาหยิบเสื้อผ้าที่คิดว่าได้รับอนุญาตให้ใช้ได้เรียงใส่กระเป๋า  คัดแยกของแล้วแบ่งไว้เป็นสองกองคือถุงที่นำติดตัวไปได้
 และถุงที่ไม่แน่ใจว่าจะฝากเจ้าของห้องไว้ หรือจะทิ้งไปเลย

“ตื่นแต่เช้าจัง” เสียงพร่าดังมาจากคนที่เพิ่งยันตัวขึ้นนั่งทั้งที่เปล่าเปลือยและลูบใบหน้าตัวเองแรง ๆ

“วันนี้กูต้องกลับเข้าไปแล้ว”

“กูจำได้” หย่อนขายาวลงตรงพื้นข้างเตียงพลางกวาดตามองเขาที่นั่งขัดขาอยู่ที่พื้นด้วยสายตาคมกริบ

“ไปส่งกูที่บ้านที”

“กูตั้งใจจะไปส่งมึงอยู่แล้ว  ขออาบน้ำก่อน”

เจตใช้เวลาอาบน้ำแค่เพียงไม่กี่นาที ก่อนที่จะพาตัวสูงโปร่งและหน้าคมขรึมออกมายืนหน้าตู้เสื้อผ้า  เสื้อยืดสีดำและ
กางเกงยีนส์สีดำสนิทถูกหยิบมาสวมลวก ๆ ก่อนที่จะมานั่งยองข้าง ๆ กองถุงของเขาพร้อมกับเช็ดผมสั้นเกรียนที่ยัง
หมาดอยู่ด้วยผ้าขนหนู

“นั่นจะเอาไปใช่หรือเปล่า”

“อือ”

“ที่เหลือนี่ฝากกูไว้?

“ทิ้งเลยก็ได้”

“ไม่ต้องทิ้งหรอก เอาไว้นี่  มึงมาคราวหน้าจะได้มีใช้”

เขามองตาคมของคนที่บอกให้เขาฝากของไว้  ... คราวหน้าสำหรับเขา....งั้นเหรอ?

เจตลุกไปโยนผ้าขนหนูใส่ราวตากแล้วเดินไปหยิบข้าวของโยนลงบนเตียงหลายอย่าง ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมและกุญแจ
แล้วเดินมาหาเขา  เขาจึงรีบหยิบข้าวของแล้วลุกขึ้นทันทีเมื่อเข้าใจจากท่าทางว่าเจตพร้อมจะไปส่งเขาแล้ว

“เดี๋ยว.... มึงเอาของในถุงพวกนั้นออกไปใส่ในตะกร้าก่อน”

“ทำไมวะ”

“แม่บ้านเขาจะได้มาเอาไปซักไว้ให้มึงใส่”

“มะ .. ไม่เป็นไรหรอก ใส่ถุงไว้อย่างนั้นแหละ”

“สกปรก มึงใส่แล้วด้วย กว่าจะมาอีกทีห้องกูได้เหม็นอับเพราะเสื้อผ้าพวกนี้”

มือใหญ่ของเจตดันหลังเขาแรงๆ  เขาได้แต่หันมามองเจตอีกครั้งแล้วจึงวางถุงในมือบนเตียง ข้าง ๆ กองเสื้อผ้าที่เจตโยน
ออกมาจากตู้เมื่อสักครู่ แล้วหยิบถุงที่ซุกไว้ข้างเตียงมาเทเสื้อผ้าใช้แล้วของตัวเองลงในตะกร้าสำหรับรอซัก เทปนไปกับ
เสื้อผ้าของเจ้าของห้องเมื่อมองไม่เห็นว่ามีตะกร้าใบอื่น





ล้อรถใหญ่ของพาหนะสองล้อจอดที่หน้าประตูรั้วบ้าน  เขาก้าวขาลงจากรถแล้วยืนเต็มฝ่าเท้าพร้อมหลังที่สะพายกระเป๋าเป้
และมือที่หอบหิ้วถุงในขณะที่แดดเช้ายังอ่อนแสงอยู่นัก

ประตูหน้าบ้านเปิดค้างไว้เป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีใครบางคนอยู่ในนั้น  เขาถือถุงของก้าวขาข้ามธรณีประตูเข้าในตัวบ้าน  
ไฟถูกเปิดไว้เพียงแค่บางดวงเท่านั้นแต่ก็ชัดเจนมากพอให้เห็นเงาเค้าร่างของหญิงคนหนึ่งที่นั่งเงียบๆ อยู่โซฟาและหันหลัง
ให้ประตู

เขาค่อยๆ ก้าวเดินเข้าไปช้า ๆ และเมื่อเขาหยุดยืนที่ไม่ไกลโซฟานัก และไม่ทันได้เอ่ยทัก  ใครคนนั้นก็ผุดลุกขึ้นพร้อมกับ
หยิบกระเป๋าสะพายของผู้หญิงสีเข้มขึ้นคล้องกับไหล่แล้วหมุนตัวกลับมา เดินเร็วๆ ผ่านเขาไปทางประตูหน้าบ้านในทันที 


เขาไม่แปลกใจ เพราะเขารู้ดีว่าคนคนนี้เพียงแค่มาทำตามหน้าที่  เขาจึงทำได้แค่มองขึ้นไปยังประตูห้องนอนชั้นสอง 
มองห้องของเขาที่ประตูถูกปิดไว้ท่ามกลางความมืดสลัวของระเบียงที่ไร้แสงไฟ  เสียงถอนหายใจยืดยาวถูกนำมาใช้
ก่อนที่ขาเล็กจะก้าวเดินตามใครคนนั้นไปยังประตูหน้าบ้านในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน

เจตที่ยังคงจอดรถอยู่ตรงประตูรั้วมีสีหน้าแปลกใจ  หลังจากเขาลงจากรถของเจตเมื่อห้านาทีก่อน เจตบอกว่าจะรอ
ให้เขาเก็บของเสร็จเรียบร้อยจึงจะกลับ และเจตคงไม่คิดว่าเขาจะใช้เวลาเพียงแค่ห้านาทีเช่นนี้

......... นั่นสิ  แค่ห้านาที  เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะขึ้นไปหยิบอะไรสักชิ้นบนห้องนอนของตัวเองด้วยซ้ำ

แต่ธนบัตรสีเทาปึกหนึ่งเมื่อสองสามวันก่อนก็ช่วยให้เขามีทุกอย่างตามสมควรแล้วในเป้ที่สะพายอยู่ที่หลัง  
อีกส่วนที่เหลือเขาดึงออกจากกระเป๋ากางเกงขาสั้นแล้วยื่นให้เจตในจังหวะที่เดินผ่าน พร้อมกับพูดฝากความด้วย
น้ำเสียงที่เบาจนตัวเองยังแทบไม่ได้ยิน

“เก็บไว้ให้กูที”

สีหน้าของเจตบอกถึงความไม่เข้าใจ เขาจึงขยายความเพิ่มก่อนจะรีบก้าวขาเร็ว ๆ ตามใครคนนั้นที่คล้องกระเป๋าไว้
กับไหล่แล้วหนีบแน่น เดินนำลิ่วโดยไม่เหลียวหลังมามองเขาเลยสักนิด  “เขา....ไม่เอาคืนหรอก”





เสียงสองล้อมีลูกสูบดังกระหึ่มจากด้านหลังแล้วค่อยหายไป  เจตคงขับรถตามถนนไปทางท้ายซอยที่จะทะลุถนน
อีกสายเพื่อกลับที่พักแต่เขาไม่ได้หันไปมองเพราะมัวก้าวขาให้ทันคนที่ผลุบเข้าไปนั่งด้านหลังของรถแท็กซี่เสียแล้ว
เสียงวิทยุที่ดังในห้องโดยสารและเสียงจากเครื่องมือสื่อสารตัวสีดำจากแผงด้านหน้าช่วยให้บรรยากาศกระอักกระอ่วน
บางเบาแต่ไม่ได้จางหาย  มันยังคงซุกตัวอยู่ในความรู้สึก ในแววตา ในอากัปกิริยาของสองคนที่เบาะหลัง  อย่างน้อย
ก็ขอบคุณเสียงแตกซ่าตามคุณภาพภาครับภาคส่งของวิทยุในแท็กซี่กลางเก่ากลางใหม่เครื่องนั้น  ที่ช่วยดึงความสนใจ
ของคนขับแท็กซี่ไปจากพวกเขา และกลบความเหินห่างหมางเมินที่แผ่จากไหล่ผอมของผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งเชิดหน้า
หันออกนอกหน้าต่างตลอดเวลา....ไม่แม้จะชายตามามองเขาที่นั่งอยู่เบาะข้าง ๆ กันด้วยซ้ำ







สิ่งเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่ง ใช่ว่าครั้งที่สองจะรู้สึกแตกต่าง

แนวกำแพงสูงตระหง่านที่ผ่านเข้ามาในกรอบสายตาทำให้ลมหายใจสั้นลงอย่างไม่มีสาเหตุ  เหมือนปอดใต้ซี่โครง
ถูกบีบลงเหลือก้อนนิดเดียวจนเก็บกลืนลมหายใจได้ไม่มาก  ความเย็นเยียบวิ่งจากจุดไหนสักที่แถวกลางลำตัว 
ในท้อง หรือแผ่นหลัง  แล่นเป็นสายริ้วสู่ปลายนิ้วขาวซีดจนเย็นชืด 

สายเป้ถูกกำแน่นราวกับต้องการหาที่ยึดเหนี่ยว  เขาหันไปมองไหล่เล็กของใครคนนั้นอย่างเต็มตา  ปฏิเสธไม่ได้ว่า
เขาต้องการไออุ่นจากใครสักคนมากแค่ไหนในตอนนี้  แต่สิ่งที่เขาได้รับมีเพียงแววตาเฉยชาที่สะท้อนให้เห็นจากกระจก
ติดฟิล์มของรถ  และสายตาที่กรีดลึกถึงขั้วหัวใจของชายกลางคนผู้ขับแท็กซี่เมื่อเลี้ยวเข้าจอดที่ริมถนนข้างป้ายบอก
สถานที่ใหญ่โต

ป้ายที่บอกชัดถึงชื่อของสถานที่แห่งนี้ สถานที่ที่ไม่ว่าใครหน้าไหนก็คิดเหมือนกันทั้งนั้น

.... ว่าไม่มีเด็กดีคนใดต้องหอบเสื้อผ้ามานอนที่นี่..... ไม่มี




แผ่นหลังเล็กของใครคนนั้นห่างออกไปหลังจากลงลายมือชื่อในเอกสาร และแผ่นแถบตรวจของเหลวแสดงให้เห็นว่าเขา 
“ปกติ”

ของในกระเป๋าเป้ และถุงกระดาษถูกส่งไปอีกห้องตามขั้นตอนเพื่อตรวจ  เช่นเดียวกันกับเขาที่กลั้นหายใจก้าวขา
ข้ามกรอบเหล็กอันเป็นเขตกั้นแยกโลกสองใบออกจากกันในเสี้ยววินาที  ร้อนที่ดวงตาและหนาวเหน็บในหัวใจ   
ขั้นตอนเหมือนเดิมทุกอย่าง ต่างเพียงคำสนทนาจากชายในเครื่องแบบเปลี่ยนเป็นซักถามสิ่งที่เขาทำในช่วงไม่กี่วัน
ที่ผ่านมา มากกว่าจะพูดถึงเนื้อหายาวยืดหลายหน้ากระดาษเช่นเคย

เสื้อผ้าที่ติดตัวมาถูกเก็บใส่ถุงมัดปากเรียบร้อย เขียนหมายเลขด้านข้างถุงด้วยปากกาเมจิกเส้นใหญ่ก่อนจะโยนลง
กล่องพลาสติกที่เปิดฝาทิ้งไว้และมีอีกหลายถุงนอนรออยู่แล้ว เสื้อสีพื้นคอปาดกว้างตัวโคร่งและกางเกงขาสั้นถูกนำมา
ให้สวมใส่โดยไม่เต็มใจแต่จำยอม  เขาเพียงแค่ลูบแผ่นอกตัวเองเบา ๆ อย่างน้อยคราวนี้เขาก็มีเสื้อกล้ามและกางเกงใน
มากพอแล้ว


รับของที่ตรวจแล้วเรียบร้อยจึงสะพายกระเป๋าไปห้องล็อกเกอร์เพื่อเก็บของ  ถุงกระดาษในมือถูกเปิดอ้าออกเพื่อมอง
แล้วยิ้มด้วยความพึงพอใจเมื่อได้คิดถึงสีหน้าของเจ้าเด็กแสบ  เขาหวังว่าไอ้แสบจิ๋วจะชอบสีดินสอที่เขาซื้อมาฝาก 
และโชคดีที่คนในเครื่องแบบเหล่านั้นไม่หยิบมันออกไปแม้แต่สีเดียว

“พี่จ้อย!!!

เด็กตัวเล็กและผอมจัดวิ่งมาตามถนนคอนกรีตเมื่อเห็นเขา  มันพุ่งมาด้วยความรวดเร็วแต่เมื่อถึงตัวเขามันกลับทำ
เพียงแค่หยุดยืนข้าง ๆ เขย่งตัวขึ้นลงพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง ตาสุกใสบนใบหน้ามอมแมมด้วยสีผิวค่อนไปทางกระด่างดำ
ไม่สม่ำเสมอมองถุงในมือเขา  มองมือเขา  และถ้าเขามองไม่ผิด จิ๋วเอื้อมมือออกมาเล็กน้อยคล้ายจะจับตัวเขาแต่ก็ชะงัก
แล้วหดกลับไปขดซ่อนไว้ด้านหลัง  เขาจึงยื่นมือไปจับต้นแขนผอมนั่นแล้วดึงให้เดินตามเขาเข้าไปในห้องล็อกเกอร์ที่วันนี้
เปิดรอสำหรับผู้ที่เพิ่งกลับมาถึงเช่นเขา

“เอ้า  ซื้อมาฝาก”

“จริงเหรอ  มึงให้กูจริงเหรอ”

ป้าบ! 

เขาตบหัวเล็ก ๆ ของเด็กชายตัวผอมเมื่อรู้สึกว่าคำพูดของไอ้ตัวเล็กตรงหน้าระคายหู  พูดจากูมึงเต็มปากเต็มคำ  
แม้จะเคยได้ยินมาแล้วหลายเดือน แต่หลังจากก้าวขาออกนอกกำแพงหนานี้แค่ไม่กี่วันเขากลับอยากให้ไอ้เด็กตัวจิ๋วคนนี้
พูดจาให้สุภาพ  อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องติดปากมันไปยามเมื่อสักวันที่มันจะได้รับโอกาสติดปีกออกจากที่นี่

“เรียกกูใหม่”

“พี่.. พี่จ้อยให้กูเหรอ”

หัวเล็กเอียงหลบวูบเมื่อเขาเงื้อมืออีกครั้ง  ปากบางแห้งแตกของไอ้เด็กตัวเล็กที่นั่งตาโตมองกล่องสีในมือเขาอ้าขึ้นเถียง
อย่างเร็วรัว

“ก็เรียกพี่แล้วไง  จะตบกูทำไมอีก”

“ทำไมต้องแทนตัวว่ากู”

“แล้วจะให้แทนตัวเองว่ายังไง”

“ชื่อมึงไง ไอ้จิ๋ว”

“จะอ๊วกแตก  ตั้งแต่จำความได้ก็พูดแค่ ข่อย เจ้า กู มึง ที่บ้านก็พูดอย่างนี้”  คิ้วของคนที่ยังอยู่ในวัยเด็กโตขมวดเข้าหากัน  
หน้าตาเอาเรื่องและเหตุผลของมันทำให้เขายื่นกล่องสีที่ตั้งใจซื้อมาให้พร้อมกับถอนหายใจ

“โห  นี่กูไม่เคยมีแบบนี้เลยนะพี่จ้อย”

“เออ ใช้ไปเถอะ แล้วตั้งใจเรียนด้วย”

“เออ  ตั้งใจแน่ๆ”

“ครับสิ  มึงจะเออได้ไง กูเป็นพี่มึงนะ”

“แล้วพี่จ้อยพูดกูกับมึงกับกูทำไมล่ะ”

“วะ... เออ มึงจะพูดยังไงก็ตามใจ”

หัวเล็ก ๆ ผมเกรียนๆ ผงกขึ้นลงแทนการตอบรับ ก่อนที่ไอ้จิ๋วจะทิ้งตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้นแล้วเปิดกล่องสีที่เรียงกัน
เป็นแผงออกแรง ๆ จนแท่งสีกระเด็นลงบนตัก มือผอมค่อย ๆ หยิบแต่ละสีมาเพ่งดูใกล้ๆ แล้วกำไว้ในมือแน่น 
หมุนสลับแท่งไปมาด้วยรอยยิ้ม

“อย่าทำหายล่ะ  เดี๋ยวสีไม่ครบ  จะไม่สวย”

“เออ  กูจะวาดรูป  แล้วกูจะเอามาให้พี่จ้อยดูนะ”

“เออ กูจะรอดู”



TBC

ด้านมืด ตอนที่เก้า

ตอนที่เก้า : ...แบบไหน ที่เป็นมึง


พาหนะสองล้อคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดในที่ใต้อาคารขนาดใหญ่ซึ่งมีที่จอดรถแบ่งเป็นสัดส่วน 
ก่อนจะเดินเข้ามาทางด้านหน้าของโถงกลางแล้วเลี้ยวไปขึ้นลิฟท์  มือยาวๆ นั่นกดชั้นไหนเขาไม่ได้สังเกตเพราะมัวแต่มองคนตัวสูงที่ยืนข้าง ๆ อยู่ตอนนี้



ประตูลิฟท์เปิดออกแล้วก็เช่นเคย เขาเดินตามคนตัวสูงในกางเกงยีนส์เข้ารูปไปที่ห้อง  
หลังจากพ้นประตูเข้ามาเขาก็เดินไปนั่งที่โซฟาแต่ก็ยังคงหันมองสำรวจไปทั่วๆ อยู่ดี



“คอแทบหมุนรอบแล้ว”  กระป๋องน้ำอัดลมถูกยื่นมาข้างหน้าก่อนที่เจตจะนั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกัน


“เอ้า  ไม่เอาเหรอ หรือจะกินเบียร์?” 


เขารีบส่ายหน้าแล้วหยิบกระป๋องน้ำอัดลมมาเปิดดื่มทันที 


เจตอมยิ้มบางเบาแล้วนั่งหันหน้ามาทางเขาโดยใช้แขนพาดตามทางยาวของพนักโซฟา


“มองจัง......  มีอะไรเหรอ” 


เขาคงมองมากเกินไปจนเจตผิดสังเกตจึงได้เอ่ยปากถาม


“มึงดูเปลี่ยนไป  กู... รู้สึกไม่คุ้น”


 เขาตอบไปตามภาพที่เห็น  ผู้ชายตัวสูงตาคมหน้านิ่งหลังกำแพง  
ตอนนี้อยู่ในเสื้อยืดคอวีสีดำสนิทพอดีตัวกับกางเกงยีนส์ แม้ว่าถอดแจ็คเกตและรองเท้าหนังสีดำออกไปแต่ก็ยังไม่เหมือน “เจต” ที่เขาเคยเห็น ไหนจะรอยยิ้มบางเบาที่ติดอยู่ตรงมุมปากนั่นอีก  .... ทำไมเขาไม่เคยสังเกตเห็นมุมนี้ของเจตเลย


“มึง.... ยิ้มอย่างนี้บ่อยมั้ย”


“ไม่บ่อย  แต่ก็มากกว่าตอนที่อยู่ในนั้น” 


“แล้ว... มึงไม่กลับบ้านเหรอ”  เขาถามเพราะที่นี่น่าจะเรียกว่าคอนโดมากกว่า และไม่มีใครอยู่ในนี้อีกเลย


“ไม่ล่ะ วุ่นวาย  อยู่ที่นี่ดีกว่า แค่ไม่กี่วันก็ต้องกลับเข้าไปแล้ว”  เจตพูดเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไรสักเท่าไหร่


“อืม...  “


“แล้วมึงล่ะ .... ทำไมไม่อยู่บ้าน”


“กู.. ไม่อยากอยู่ที่นั่นคนเดียว”


“แล้วคนที่ไปรับมึงมาล่ะ  ไปไหนแล้ว”


“ไม่รู้  กูออกมาก็ไม่เจอแล้ว”  เพราะถูกสะกิดเข้าที่เดิม  เสียงจึงสั่นเครือขึ้นมาทันที


เจตขยับตัวเข้ามาชิดกว่าเดิม  นิ้วยาวๆ ลูบที่เปลือกตาบวมช้ำของเขาเบา ๆ “มึงนี่ก็นะ  ทำไมถึงได้ขี้แยขนาดนี้”


“กูไม่ได้อยากร้อง”  หยดน้ำเม็ดโตฝ่าฝืนคำสั่งของเขาด้วยการร่วงไหลลงตามแก้ม 


“แล้วนี่.... มึงจะเล่ามั้ย?” 


นิ้วยาวของเจตลูบเบาๆจากเปลือกตาลงมาที่มุมปาก  เขาแทบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเพราะแผลนี้ทำให้เขาต้องรีบหาทางออกมาให้ได้ 


“ไอ้ปาน .... จริงสิ  เพราะกูไอ้จิ๋วเลยหัวแตก” 


“ขนาดนั้นเลยเหรอ... เฮ้อ กูถึงได้บอกไง ว่ามึงอยู่ไม่ได้หรอก”


“กู..  กู.. เผลอหลับไป  แล้วมันมาจากไหนไม่รู้ มาคร่อมกูไว้  พูดแล้วอยากจะอ๊วก” 
เขาหดขาขึ้นมานั่งกอดเข่า มือผอมๆ ปัดไปปัดมาตามแขนหวังให้ลืมความรู้สึกต่างๆ 


“แล้วมึงเป็นอะไรบ้าง นอกจากตรงนี้กับตรงนี้”  มืออีกข้างของเจตจับมือเขาขึ้นมาใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยตามรอยช้ำที่ข้อนิ้ว  รอยช้ำจากตอนที่เขาซัดไอ้ปานแบบไม่มีจุดหมาย 


“มี... “


เขาถลกเสื้อที่สวมอยู่ขึ้นสูงเพื่อให้เจตเห็นรอยช้ำที่ช่วงท้องโดยที่ลืมไปว่าเจตใช้นิ้วยาวๆ นั่นลูบสำรวจแผลเขามาแล้วทุกที่และตรงนี้ก็เช่นกัน  นิ้วยาวสวยของเจตแตะแผ่ว ๆ แต่ทำให้เขาเกร็งท้องในทันที
ห้องนี้แอร์เย็นจัด  และปลายนิ้วเจตตอนนี้ก็เย็นเช่นกัน  ขนแขนเขาลูกซู่.....


มือของเจตข้างที่พาดยาวตามพนักโซฟาทิ้งมือลงใกล้ ๆ ไหล่ของเขา  และอีกข้างไล้ช่วงท้องที่มีรอยช้ำเบา ๆ  ตาคมคู่นั้นมองที่แผ่นท้อง  ไล่สายตาขึ้นมาที่มุมปากที่มีรอยแตกก่อนจะสบตากับเขา  ตาของเจตที่เขาเคยคิดว่ามันช่างเย็นชา ไร้ความรู้สึกในบางครั้ง  วันนี้มันฉายแววอีกอย่าง  สีหน้าที่เคยตึงขึง ในยามนี้ผ่อนคลาย  ปากบางที่เคยเหยียดเป็นเส้นตรง  กลับมียิ้มอ่อนติดมุมปากอยู่เกือบตลอดเวลา
ตั้งแต่ไปรับเขาที่ป้ายรถเมล์


มือผอมๆ ของเขาค่อย ๆ ยื่นไปวางที่กรามเรียวได้รูปสวยของเจต  “เจต... ใช่มึงจริง ๆ เหรอ”


สาบานว่าเขาได้ยินเสียงหัวเราะของเจตเป็นครั้งแรก แม้จะเป็นเพียงเสียงหัวเราะในลำคอเท่านั้น


“หึ หึ...  ก็จริงน่ะสิ  ทำไม  จำกูไม่ได้เหรอ”


“อืม มึงเปลี่ยนไป”


“ไม่  กูก็เป็นกูเหมือนเดิม”


“ตอนอยู่ที่นั่น  มึงไม่ทำอย่างนี้”  เขาแตะที่มุมปากของเจต ซึ่งเจตคงเข้าใจว่าหมายถึง ยิ้ม


“บางอย่างไม่ทำจะดีกว่า”


“กู....กลัว  กู...ไม่แน่ใจ”  เขาดึงมือกลับมาไว้ที่อก  เขากลัวจริงๆ  ตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะไว้ใจอะไร หรือใคร


“มึงกลัวกูเหรอ”


“ก็ใช่”


“เพราะ?


“กูไม่แน่ใจ อันไหนกันแน่ที่เป็น...มึง...จริงๆ”


“กู..เป็นกู  เสมอ”  หน้าคมโน้มลงมาใกล้เรื่อย ๆ


“ก็เหมือนมึง  จะตอนนั้น  หรือตอนนี้ มึงก็ยังเป็นเหมือนเดิม”  


อะไรของเขาที่เหมือนเดิมเขาไม่รู้  และไม่มีโอกาสถาม  หน้าคมโน้มลงมาจนติด  และแนบชิดริมฝีปากเข้าด้วยกันมือที่อยู่ไหล่ขยับไปซ้อนท้ายทอยเพื่อประคองพร้อมกับบดริมฝีปากเข้ามาแนบชิดและเริ่มเค้นคลึงไปทั่วริมฝีปากของเขา   แนบชิด เรียกร้อง ต้องการ และดูดกลืน 


กลิ่นบุหรี่เข้ามาในโพรงปากเขาพร้อมกับลิ้นร้อน   มือที่ซ้อนท้ายทอยไว้ขยับนิ้วยาวๆ  วนไปทั่วจนถึงต้นคอ และลงน้ำหนักที่ปลายนิ้วในบางจุดจนเขาสะดุ้งและผวาเข้าหาตัวเจต  มือร้อนๆ ที่ลูบแผ่นท้องไต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ  ...อ่า มันร้อนๆ เย็น ๆ กว่ายานวดแก้ฟกช้ำของคุณหมอ


“ฮึก...” 


เขาผวาสุดตัวเมื่อนิ้วยาวๆ นั่นสะกิดที่ตุ่มไต  หนีบติดนิ้วแล้วกดเค้นคลึงนวดจนทั่วอกราบๆ ของเขา


“ฮื้อออ... ปล่อยกู”  


เขาเบี่ยงริมฝีปากหลุดจากเจตได้เพียงแค่นิดเดียวแต่เจตก็ตามมาประกบแล้วดูดดึงริมฝีปากเขาคล้ายกับกำลังเมารสจูบลึกซึ้ง  ความร้อนเล่นเป็นเส้นจากหลังจนถึงท้ายทอย  วาบกระตุกไปทั่วแผ่นอกโดยเฉพาะตุ่มเม็ดเล็กเหมือนโดนไฟอ่อน ๆ ช็อตจนสิ้นเรี่ยวแรง 


แผ่นหลังเอนราบลงกับโซฟาและร่างสูงโปร่งของเจตแทรกอยู่กลางหว่างขาแล้วโน้มตามลงมาทาบทับ
ศอกข้างหนึ่งโดนดึงเข้ามาขวางไว้ช่วงลำคอของเจตในจังหวะที่เจตผละหน้าไปเลิกเสื้อเขาขึ้นสูงแล้วจะโน้มลงมาอีกครั้ง


“ทำไม”  



ตาคมหวานฉ่ำด้วยอารมณ์ มือร้อนยังลูบและลงน้ำหนักไปจนทั่ว  ราวกับลำตัวผอมๆ อกแบนๆ ของเขามันน่าสัมผัสนัก


“อย่า ..  เดี๋ยวก่อน”  


เสียงพร่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  ทั้งที่ความต้องการพุ่งขึ้นสูงไม่ต่างกัน  เขาเองก็เด็กผู้ชายธรรมดาที่ธรรมชาติสอนให้รู้จักกับสิ่งเหล่านี้  ตั้งแต่เริ่มโตเป็นหนุ่ม  แต่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้เขาต้องแน่ใจกว่านี้เสียก่อน


“มึงหยุดแล้วคุยกับกูก่อน” 


เอียงหน้าหลบปากบางที่กำลังจะวูบมาฉกจูบอีกครั้ง แต่ทว่าคนพลาดก็ไม่ยอมเสียโอกาสทิ้งฟรีๆ  คงไล่กดจูบดูดไปทั่วแนวกรามและคอของเขาจนเขากัดปากเพื่อกลั้นเสียงครางแน่น


“คุยอะไร  เดี๋ยวค่อยคุยก็ได้”  หัวเข่าที่ตั้งชั้นเพราะเจตใช้ขาดันไว้ทำให้กางเกงขาสั้นร่นลงมา และคล้ายกับเปิดทางสะดวกให้เจต


“อ๊า ... ฮึก  อื้อ” 


มือร้อนล้วงเข้าไปทางขากางเกงแล้วลูบไปที่จุดอ่อนไหว  ความรู้สึกที่ถูกปลุกเร้าด้วยจูบและหน้าอก  ถูกกระตุ้นให้ตื่นตัวทันทีเพียงแค่ลากมือผ่านไม่กี่ครั้ง  มือสองข้างของเขากำที่ไหล่เจตแน่น หน้าของเขาซุกเข้าที่ไหล่พร้อมกับลำตัวที่โค้งงอเป็นกุ้งเพราะความเสียวสะท้านและต้องการดึงตัวเองให้หลุดจากสัมผัส


“จุ๊ๆ... อย่าฝืนสิ”  เสียงทุ้มกระซิบเข้าที่ข้างหูก่อนลิ้นร้อนจะเลียเข้าที่ติ่งหูเบาๆ  ขบ เม้ม แล้วกดจูบทั่วใบหู  สูดดมที่ลำคอของเขาซ้ำๆ


“ไม่ไหวแล้ว .... หยุด.. อ่ะ  อา.. หยุด”


“เสร็จแล้วจะคุยด้วย  สัญญา”


....  ที่ต้องการคุยคือก่อนจะเสร็จมากกว่า  แต่ทว่า.. ไม่ทันแล้ว


“อ๊า.......”  เขากระตุกเกร็งถี่ๆ หลังจากที่เจตลูบเนื้อแท้ใต้ชั้นในไม่นาน  เพราะอัดอั้นและห่างจากเรื่องแบบนี้  จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะไปถึงที่สุดหลังจากถูกสัมผัส  นิ้วยาวๆ ยังดึงรูดช่วยให้เขาปลดปล่อยทุกหยดหยาด


สั่น  กระตุก เรี่ยวแรงที่มีเหมือนโดนดูดเข้าไปในหลุมกว้าง หอบหายใจโยนจนต้องอ้าปากช่วยโกยอากาศ  ก่อนจะทิ้งตัวลงสู่ความอ่อนนุ่มของโซฟา 


เจตไม่ได้ทำอะไรต่อจากนั้น รวมถึงไม่ได้เดินเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการตัวเองอย่างที่เขาคิด  เพียงแค่เอื้อมไปหยิบกระดาษทิชชู่ตรงโต๊ะเล็กใกล้ ๆ มาเช็ด  แล้วกลับมาทาบทับพร้อมสอดมือเข้าที่ใต้ลำตัวเขา  โอบกอดให้ลำตัวชิดกันและวนเวียนกดจูบ สูดดมทั่วใบหน้าและลำคอเขาอยู่อย่างนั้นซ้ำๆนานจนลมหายใจเริ่มกลับเป็นปกติ  เขาค่อยๆ ขยับจนได้ช่องพอจะลอดมือตัวเองเข้าไปดึงเสื้อยืดที่ถลกโชว์แผ่นอกราบ ๆ ลง  ผลักอกคนที่ยังแทรกตัวอยู่ตรงกลางให้รู้ว่าเขาอึดอัด ก่อนจะค่อย ๆ เบี่ยงตัวหลบเพื่อนอนตะแคง



“หืม...”  


เสียงทุ้มใกล้ ๆ หูบ่งบอกถึงว่าไม่เข้าใจอาการของเขา แต่ก็นั่นแหละ  เขาเคยคิดว่าเจตเข้าใจเขามาตลอด  จนกระทั่งเมื่อสักครู่ที่พายุอารมณ์สาดซัด 


....เจตไม่เข้าใจ  มันไม่แม้แต่จะฟังเขาด้วยซ้ำ  .... เขาฝืนจนสามารถพลิกตัวมาตะแคงได้สำเร็จแล้วดึงตัวเองไปยืนขาสั่นอยู่ข้างโซฟา  ก่อนจะก้าวเดินไปทางประตูห้องโดยไม่สบตาคนที่ดันตัวขึ้นมานั่งจ้องหน้าเลยสักนิด


และก็เป็นอย่างที่คิด  เขาไม่สามารถเดินไปจนถึงประตูห้องได้  แขนยาวๆ สอดเข้ามากอดเข้าไว้แน่นจนหลังแนบไปกับแผ่นอก


“จะไปไหน”  หน้าคมกดลงที่ต้นคอแล้วเอ่ยถามใกล้ใบหู


“กูจะกลับบ้าน”


“บ้าน... ที่ไม่มีใครอยู่น่ะเหรอ”


“บ้าน.. ที่มึงเพิ่งทิ้งมา แล้วโทรหากูน่ะเหรอ”


“มึงยังเรียกว่าบ้านอยู่เหรอ”


เขาหันขวับกลับไปมองหน้าเจตทันที  “แล้วจะให้กูทำยังไง  ในเมื่ออยู่ที่นี่มึงก็ไม่คิดจะฟังกู”
แขนขาวตามมารัดเอวเข้าหาตัวอีกครั้งพร้อมกับกดจูบแผ่ว  ๆ ที่แก้มเขาซ้ำ ๆ


“กูขอโทษ... นอนที่นี่นะ  กูสัญญาพอตื่นมากูจะฟังที่มึงพูดทุกคำ แต่ตอนนี้มึงช่วยอยู่กับกูก่อน”


อะไรบางอย่างในสายตาของเจต ทำให้ไม่กล้าพอจะดึงตัวออกจากอ้อมกอดของมัน และไม่กล้าพอจะฝืนตัวเองตอนที่มันจับจูงเข้าไปที่เตียงนอนใหญ่หลังบานประตู


คืนนั้น เจตกอดเขาไว้แน่น วนเวียนลูบผม ต้นแขน และช่วงเอว  ริมผีปากกดจูบที่หัว  และขมับบ้างเป็นบางครั้งจนกระทั่งเขาหลับไปบนเตียงนุ่มอุ่น








เขาลืมตาตื่นได้พักใหญ่แล้ว  แม้เครื่องปรับอากาศในห้องจะเย็นฉ่ำ เตียงนุ่ม และอ้อมกอดนั้นจะทำให้รู้สึกอบอุ่นและสบายแค่ไหน แต่ในเมื่อยังไม่ชินก็ทำให้เขาตื่นง่าย ๆ อยู่ดี  หรืออาจเป็นเพราะหลายเดือนที่ผ่านมาต้องตื่นพร้อมเสียงนกหวีดตั้งแต่ฟ้าสาง นาฬิกาชีวิตจึงได้ปลุกเขาให้ตื่น


ค่อย ๆ ขยับตัวออกมานั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง ห่างจากเตียงนอนใหญ่ไม่กี่ก้าว  เปิดผ้าม่านดูแสงที่ค่อย ๆ ฉาบความสว่างไปจนทั่ว  ห้องนี้อยู่สูง วิวนอกหน้าต่างจึงสวย...


หันกลับเข้ามามองไปทั่วห้องนอน  เตียงหลังใหญ่ดีไซน์เรียบ ๆ เครื่องเรือนแบบบิลท์อินตกแต่งโทนสีเรียบ และโทรทัศน์จอใหญ่ที่ปลายเตียง  นอกจากนั้นในห้องนี้ไม่มีอะไรตกแต่งเพิ่ม  แต่ทว่าเท่าที่คาดคะเนราคาห้องนี้คงจะแพงเอาการ


เขายกขาขึ้นมาบนเก้าอี้นุ่ม  วางคางลงบนหัวเข่าทอดสายตามองคนที่ยังนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงนั้น
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานไม่ได้คล้ายเคียงกับความฝัน เพราะเขาไม่เคยฝันถึงเจตในแบบนั้น แต่ก็ยากที่จะทำใจว่ามันเป็นเรื่องจริง  


เขาไม่ปฏิเสธว่าเจต คือความมั่นคงและอบอุ่นที่เขามีหลังกำแพงนั้น แต่เขายังไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าความรู้สึกแบบนั้นจะพัฒนาเป็นอะไรได้บ้าง  จนกระทั่งความมั่นคงห่างหายจากชีวิตเขายังไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงดีนัก  พายุของความอารมณ์ของใครต่อใครก็ซัดจนเขาตั้งตัวไม่ทัน... แม้แต่พายุอารมณ์ของเจตก็ไม่ปราณีเขาเช่นกัน


ขายาวค่อยๆ ขยับและตาคมก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตาช้าๆ  กระพริบตาไม่กี่ครั้งแล้วกวาดสายตามองจนเจอเขา เจตค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินมาหยุดที่ตรงหน้า  ก้มลงมามองเขาที่รอสบตาด้วยสีหน้าอ่อนโยนพร้อมกับมือที่ลูบหัวเขาเบา ๆ


“ทำไมตื่นเช้าจัง”


“มันตื่นเอง”


“คงจะเคยชินที่ต้องตื่นเช้าสินะ.. เมื่อคืนหลับสบายหรือเปล่า”


“เตียงมึงนุ่มดี”


“หิวหรือยัง”


“...ไม่รู้สิ”


“งั้นกูไปหาอะไรมาให้มึงรองท้องก่อน  ไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เมื่อวาน เดี๋ยวจะปวดท้อง”


โจ๊กสำเร็จรูปสองถ้วยที่ริมหน้าต่างในห้องนอน  ไอร้อนลอยขึ้นเป็นกลุ่ม ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอยากอาหาร
เจตนั่งกินโจ๊กเงียบ ๆ และปล่อยให้เขาจัดการอีกถ้วย  ก่อนจะเก็บทั้งถ้วยโจ๊กเปล่าและแก้วน้ำเดินออกไปจากห้องนอน  แล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง  ยืนกุกกักอยู่หน้าตู้เสื้อผ้า แล้วยื่นผ้าเช็ดตัวพร้อมเสื้อผ้าที่พับไว้ให้เขา


“ไปอาบน้ำก่อน จะได้สดชื่น”


เขาเดินไปหยิบของแล้วเดินเข้าห้องน้ำพร้อมพยักหน้ารับเมื่อเจตเอ่ยตามท้ายว่าใช้ของในห้องน้ำได้ตามสบาย


ความสบายใจคงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขารู้สึกอยากอาหารอีก เพราะโจ๊กถ้วยเดียวยังทำให้ท้องไส้เบาหวิว  แล้วก็เป็นเจตที่โทรไปสั่งอาหารตามสั่งขึ้นมาให้  หลังจากนั้นไม่นานเขาก็นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงนอนอีกครั้งในเสื้อยืดตัวใหญ่และกางเกงขาสั้นที่ยาวครึ่งแข้ง แน่นอนว่าเอวหลวมจนต้องใส่เข็มขัดช่วย


จานที่เคยมีข้าวผัด  ข้าวคะน้าหมูกรอบไข่ดาวถูกยกไปวางนอกประตูห้อง ก่อนเจ้าของห้องจะหายเข้าไปอาบน้ำแล้วกลับออกมาด้วยผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันเอวไว้  เปิดประตูตู้เสื้อผ้าสวมกางเกงขาสั้นคล้ายเขาแต่คนละสี สวมเสื้อยืดสีขาวแล้วนอนทิ้งตัวลงข้างๆ ที่กำลังดูการ์ตูนทางช่องเคเบิ้ลทีวี



“กอดได้มั้ย” 


เขาไม่ตอบแต่ขยับตัวเข้าไปใกล้ให้อีกคนดึงตัวเข้าไปในตำแหน่งที่ถนัด  และอีกหลายชั่วโมงที่ชีวิตวนเวียนอยู่อย่างนั้นซ้ำ ๆ  หลับ  ตื่น  กินข้าว  อาบน้ำ  นอนกอดกัน และหลับ  จนเช้าของวันใหม่


“ปวดหัว....”  เขาเพิ่งออกจากห้องน้ำ  หลังจากอาบน้ำหวังให้สดชื่นแล้วมานั่งที่เก้าอี้ริมหน้าต่าง


“คงนอนนานเกินไป”


“อือออ มึงมียามั้ย”


“ไม่ต้องกินหรอก  เดี๋ยวกูพาออกไปข้างนอก  เดินเสียบ้างคงดีขึ้น”


“ข้างนอกเหรอ....  กู..ไม่อยากไป”


“ไปเสียหน่อย  กูจะพามึงไปบ้านด้วย”


และนั่นเป็นเหตุผลสำคัญอีกเช่นกันที่ทำให้เขาและเจตกลับมาที่บ้านอีกครั้ง  เขาเปิดประตูแล้วเดินนำเจตเข้าไปในตัวบ้าน บ้านทั้งหลังยังคงเงียบสนิท  ไร้วี่แววสิ่งมีชีวิตภายใต้หลังคาเดียวกัน  เพียงกระดาษโน้ตหนึ่งใบและธนบัตรสีเทาอีกจำนวนหนึ่ง วางตรงตำแหน่งที่เคยวางไว้นั้น... คือสัญญาณบอกว่ามีใครบางคนเข้ามาในตอนที่เขาไม่อยู่


“กลับมารอที่นี่ตามกำหนดด้วย” 


ลายมือที่คุ้นเคยแม้ไม่ลงชื่อเขาก็รู้ดีว่าใครคือเจ้าของจดหมาย  เขากำเงินธนบัตรยัดลงกระเป๋ากางเกงลวกๆ  ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นสอง โดยที่มีเจตเดินตามขึ้นไปด้วย  เขาปล่อยให้เจตมองสำรวจไปเรื่อย ๆ ส่วนตัวเองหยิบเป้ใบเล็กเก็บของใช้ส่วนตัวแล้วเดินออกไปทางประตูหน้าบ้าน   แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงเจตเดินตามออกมาจึงหันกลับไปมอง พบว่าเจตกำลังเขียนอะไรยุกยิกบนกระดาษแผ่นนั้นแล้ววางไว้ที่เดิม


“กูทิ้งเบอร์ที่ห้องไว้ เผื่อเขาจะโทรหามึง”


“เขาไม่โทรหรอก  มันไร้สาระสำหรับเขา”


ทั้งสองคนแวะซื้ออาหารสำเร็จรูปจากห้างสรรพสินค้าหลายกล่องเพราะวางแผนจะใช้ชีวิตอยู่ในห้องและพึ่งไมโครเวฟอุ่นอาหาร  สลับกับโทรสั่งจากร้านอาหารด้านล่าง  จากนั้นแวะซื้อดีวีดีหนังอีกกองใหญ่  พาหนะสองล้อทำงานได้ดีตามตรอกซอกซอย  ทำให้ทั้งสองคนไม่เจอรถติดและกลับถึงห้องพักในเวลาค่ำ


ธนบัตรสีเทาถูกใช้ซื้อเสื้อผ้า ส่วนอาหารเจตยืนยันจะเป็นคนจ่ายเขาจึงซื้อขนมขบเคี้ยวบ้าง แม้จะซื้อของเยอะแยะมากมาย รวมทั้งแผ่นดีวีดีหลายสิบแผ่น จำนวนธนบัตรสีเทาก็ยังเหลือหลายใบอยู่ดี


เขากองถุงที่มีเสื้อยืด  ชุดนอน กางเกงขาสั้น ชั้นในไว้หน้าตู้เสื้อผ้า เจตบอกให้เขาจัดเข้าตู้แต่เขาคิดว่าไม่จำเป็นเพราะจะอยู่ที่นี่อีกแค่ไม่กี่วัน ส่วนอาหารก็นำไปใส่ตู้เย็นไว้  ดีวีดีเขาจัดเรียงลำดับที่อยากดูไว้เรียบร้อย และที่เขาไม่ลืมคือถุงผ้าสีเรียบใบเล็กที่มีของใช้ส่วนตัวที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้าไปได้ และสีไม้ชนิดดี  24 สีหนึ่งกล่อง


ชุดรับแขกถูกขยับออกจากพรมหน้าโทรทัศน์จอใหญ่  ผ้าห่มผืนหนาในห้องนอนถูกขนมาปูรวมทั้งหมอนที่ถูกนำออกมาเช่นกัน มือผอมจับดีวีดีแผ่นแรกเข้าเครี่องเล่นแล้วกดรีโมทตั้งค่าเสียงให้กับชุดลำโพงขนาดใหญ่  แล้วนอนลงตรงที่ปูผ้าไว้พร้อมหยิบหมอนอีกใบมากอด  หนังสงครามย้อนยุคเริ่มต้นไปได้หลายสิบนาทีหมอนที่เขากอดอยู่ก็ถูกดึงออกเบา ๆ พร้อมกับเจตที่นอนลงข้าง ๆ แล้วจับแขนของเขา
ไปกอดช่วงเอวของเจตไว้แทน  ซึ่งเขาก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร 


จุ๊บ ....



สัมผัสเบา ๆ ที่แก้มซ้ายทำให้เขาเหลือบตาไปมองคนที่ดึงเขามานอนหนุนอก และได้รับยิ้มมุมปากตอบกลับมา


“ทำไมมึงชอบหอม ชอบจูบกูจัง” 


เพราะหลายชั่วโมงที่ผ่านมา ทั้งที่รู้สึกและไม่รู้สึกตัว เขาจะถูกรวบตัวไปกอด และวนเวียนหอมแก้ม  คอ  จุ๊บเบา ๆ หรือถ้าเขาไม่ขัดขืนก็จะจูบแบบลึกซึ้ง แต่เมื่อเขาส่งสัญญาณให้หยุด เจตก็จะหยุดให้ ไม่ฝืนเขาอีกตามคำที่เจตบอกไว้ว่าจะฟังทุกคำที่เขาพูด 


“มึงคิดว่าทำไมล่ะ”


“ไหนมึงบอกว่าจะฟังที่กูพูด”


“ก็ฟังไง .....มึงอยากรู้อะไรล่ะ  ถามมาสิ”


“มึง... เป็นเกย์หรือเปล่า”


“เปล่า แล้วมึงล่ะ”


“กูมีแฟน... เป็นผู้หญิง  เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน”  หลังประโยคนี้ออกไป  เจตนิ่งสนิท


“อืม.... “ 


“คำเดียว มึง อืมมม คำเดียวกับที่มึงทำกับกูแบบนี่น่ะเหรอ”


เจตถอนหายใจยาวก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคง เพื่อให้สบตากับเขาได้


“กู ไม่ได้เป็นเกย์ ... แต่กูรู้สึกดีกับมึง  ตั้งแต่เห็นมึงวันแรกในนั้น โอเคมั้ย”


“ทำไม  คนอื่นก็มีตั้งเยอะแยะ  กูก็เหมือนคนอื่น”


“ไม่เหมือน... มึงไม่เหมือนคนอื่น  กูยอมรับว่าตอนแรกเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของมึง  และเพราะอย่างนี้ไอ้ปานมันเลย อยากได้มึง”


“งั้นมึง....ก็เหมือนไอ้ปาน”


“ไม่ใช่หรอก  พอได้อยู่ใกล้ๆ  มึง  รูปร่างหน้าตามันเป็นแค่ส่วนประกอบ  กูรู้สึกมากกว่านั้น”


เขาจ้องเข้าไปในตาของเจต  ตาคมแข็งกร้าวที่เขาเคยกลัว กลับมองตรงเข้ามาที่เขา  แววตาอ่อนโยน และโหยหา ราวกับหวัง หรืออ้อนวอนให้เขาเข้าใจสิ่งที่เจตกำลังพูด


“ไอ้เหี้ยปาน  มันชอบพวกตัวเล็ก ๆ ขาวๆ  มันทำอย่างนี้บ่อย ยิ่งน่ารัก ยิ่งดัง  ถ้าใครได้ไปก็ยิ่งเสริมบารมี... พอได้แล้วมันก็จะบังคับเหมือนเป็นของของมัน  ทำในสิ่งที่มันต้องการ  และที่เลวกว่านั้นคือมันจะเอาพวกนั้นไปแลกกับการที่จะได้มีตัวตนกับพวก ใหญ่ๆ ทั้งหลาย”


“แล้วถ้าไม่ยอมล่ะ”


“ก็ถูกซ้อม  จนเหมือนผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ”


“แล้วทำไมไม่โดนอะไร”


“โดนสิ  แต่ส่วนมากพวกมันก็เบี่ยงประเด็นว่าทะเลาะกัน  หยอกกันแรงเกินไป  หรือแย่งของกัน  ทำให้กลายเป็นเรื่องธรรมดา  โทษก็น้อยลง  คนเจ็บก็จะไม่กล้าพูด เพราะไม่อยากโดนอีก...”


“ที่กูรอดมาได้เพราะมีมึงเหรอ”


“... มึงเองก็เก่งพอตัวนะ  ระวังตัวได้ดี  แต่มันก็ยังไม่พอเพราะไอ้ปานมันเชี่ยวกว่า”


“....... มันจะเอากูไปแลกจริงๆเหรอ”


“ไม่หรอก  เท่าที่กูดู  มันชอบมึง มันแค่อยากได้มึงเป็นของมัน”


“แล้ว..... มึงล่ะ  อยากได้กูเพราะอะไร”


“ชอบ... ล่ะมั้ง”


“กูก็ผู้ชายนะ” 


“ไม่มีใครเคยบอกมึงเหรอ ..... มึง....ไม่เคยส่องกระจกเหรอ”


นิ้วยาว ๆ ของเจตลูบไปมาเบา ๆ ตรงเหนือคิ้วของเขา ค่อย ๆ ลากลงมาตามจมูก  วนกลับไปเปลือกตาจนเขาต้องปิดตาที่กำลังมองหน้าของเจตอยู่ สัมผัสเรื่อยมาตามแก้ม คาง แล้วนิ้วหัวแม่มือกดแช่อยู่ที่ริมฝีปากล่าง


“ถึงมึงจะเป็นผู้ชาย  แต่กู ก็ไม่เคยเห็นผู้ชายที่ไหนเหมือนมึง” 


ความอุ่นนุ่มทาบทับแทนที่ปลายนิ้ว ดูดริมฝีปากล่างเขาเบา ๆ ก่อนจะผละออก  เขาค่อยๆ  เปิดเปลือกตาเพื่อสบตาแววหวานของเจต


“มึง.... จูบกูอีกแล้ว”


“และยังอยากจูบอีก... “  


หน้าคมค่อย ๆ โน้มเข้ามาใกล้อีกครั้ง พร้อมแขนอีกข้างที่รั้งเขาเข้าหาตัวของเจตจนแนบชิด  มือผอมสองข้างยังคงดันอยู่ที่อกเจตแต่ทว่าไม่มีเรี่ยวแรงมากนัก  คล้ายกับกันไม่ให้แผ่นอกแนบกันจนเกินไปมากกว่าตั้งใจจะผลักออก 



เขาไม่รู้...


ไม่รู้เลยว่าทำไมถึงยอมให้เจตจูบ และล่วงล้ำความอุ่นร้อนเข้ามาในโพรงปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงตอนนี้เขานับไม่ได้เพราะสมองมึนงง  ร่างกายวูบไหวไปหมด 


มือร้อนๆ ล้วงเข้าไปลูบขึ้นลงตามแนวกระดูกสันหลังและรั้งจนส่วนกลางของลำตัวแนบชิด  ขายาวของเจตแทรกเข้ามาหว่างขาเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้  พอ ๆ กับมืออีกข้างที่ไต่ไปทั่วแผ่นท้องทั้งที่ริมฝีปากยังแนบชิดและใบหน้ายังเอียงหาองศาเพื่อความหวานล้ำลึกอยู่


“อืมมมมมมมมมม”  เจตครางในลำคอหลังจากดูดปลายลิ้นหนัก ๆ จนเขารู้สึกชาไปหมด ทั้งลิ้นและริมฝีปากล่าง 


เมื่อความหวิวไหวเล่นงานไปทั่วจนตัวสั่น  มือผอมๆ ก็กำเสื้อของเจตแน่น สลับกับลูบเลื้อยไปตามสีข้างของอีกคนเพื่อระบายความสั่นไหวในอก


“จ้อย....  บอกอะไรกูอย่างสิ”  เจตผละริมฝีปากบางที่กดแนบไปแล้วลากไปทั่วลำคอของเขาขึ้นมาเอ่ยถามเสียงพร่า


“อืออออออ”


“ใครชื่อ จิ๊บ“ 


ตาของเขาเบิกกว้างอย่างไม่แน่ใจกับสิ่งที่ได้ยิน  ในขณะที่ตาคมของเจตยังจ้องมองอยู่ที่ใบหน้าของเขาไม่ลดละ  มือร้อน ๆ ยังลูบแผ่นเบาตามแผ่นหลังคล้ายจะปลอบประโลมเขาที่กำลังตัวสั่น... ใช่ เขากำลังตัวสั่น  มากกว่าจะพยายามทำให้เกิดอารมณ์วาบหวาม


“มึงถามทำไม”


“กูเห็นชื่อติดอยู่หน้าห้องนอนมึง”


“ .... อยากรู้เหรอ”


“อยากสิ ถึงได้ถาม”


“... กู ....ชื่อกูเอง  ตั้งแต่จำความได้ กูชื่อจิ๊บ”   ปากบางของเจตระบายเป็นรอยยิ้มอย่างชัดเจน


“ชื่อมึงน่ารักดีว่ะ  เพราะตัวมึงเล็กใช่หรือเปล่า”


“ใช่... กูตัวเล็ก  ตัวเล็กมาก  พ่อบอกว่าตอนกูเกิดใหม่ๆ ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง  แต่ใคร ๆ ก็บอกว่ากูน่ารัก  ชอบทำปากเหมือนลูกนกขออาหาร เขาเลยเรียกกูว่าจิ๊บ”


“แล้วทำไมเป็นจ้อย?


เขาถอนหายใจยาวแล้วใช้มือดันไหล่คนที่ลูบเลื้อยใต้เสื้อจนถึงไหล่


“จิ๊บ.. คือชื่อที่พ่อกูตั้งให้... และกูมีชื่อนี้ไว้ให้พ่อกูเรียก  ถ้าเขาไม่อยู่ กูก็ไม่ควรใช้ชื่อนี้  ส่วนจ้อยมันเป็นคำห้อยท้ายของคำว่าจิ๊บ”


“อ๋อ .. จิ๊บจ้อย”


“อือ .. มึงถามไรนักหนา  กูเซ็งแล้วเนี่ย”  เขาผลักไหล่กว้างแต่ยังไม่หนาเต็มที่นั้นแรง ๆ แต่แขนยาว ๆ ของเจตก็กลับรั้งเข้าเข้าไปจนชิดกันอีกครั้ง


“ไม่ถามแล้ว” 





TBC